วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โลกมีภูเขาไฟประมาณ 1,300 ลูก 700 ลูก เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว และอีก 600 ลูก ยังมีชีวิตอยู่ เช่น ภูเขา Visuvius ในอิตาลี ภูเขาไฟ Etna บนเกาะ Sicily และ Kilauea บนเกาะฮาวาย เป็นต้น เมื่อใดที่ภูเขาไฟระเบิด เราจะเห็นว่าลาวาร้อนไหลลงจากยอดเขา ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่รายรอบภูเขาไฟ
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า Pliny ผู้เยาว์ คือ นักภูเขาไฟวิทยาคนแรกของโลกที่ได้ศึกษาและสังเกตการระเบิดของภูเขาไฟ Visuvius เมื่อปี พ.ศ. 612





ภูเขาไฟ เมราปี
ภูเขาไฟ เมราปี


ภูเขาไฟอินโดฯระเบิดอีก ล่าสุดตาย 35 (ไอเอ็นเอ็น)
 
          ภูเขาไฟเมราปี ในประเทศอินโดนีเซีย เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 รายจากโฆษกของโรงพยาบาล ในยอร์กยาการ์ต้า

          ภูเขาไฟเมราปี ได้ประทุอีกครั้ง ในวันนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 35 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 50 คน ส่งผลให้ในตอนนี้ มียอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดกว่า 70 ราย

          บานู เฮอร์มาวัน โฆษกของโรงพยาบาลซาร์จิโต ใน ยอร์กยาการ์ต้า ได้เผยว่า "ประชาชน 35 คนเสียชีวิตจากการปะทุของภูเขาไฟ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่อีก 50 คน เข้ารับการรักษาบาดแผลไหม้"

          ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซีย ได้ออกแถลงการณ์ เตือนประชาชน พร้อมประกาศให้พื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่อันตราย โดยขยายพื้นที่จากเดิม 5 กิโลเมตร เป็น 20 กิโลเมตร และได้สั่งอพยพประชาชนกว่า 100,000 คน ออกจาก บริเวณดังกล่าว

          ด้านนักภูเขาไฟวิทยา ของอินโดนีเซีย ได้ออกมาเผยว่า การปะทุครั้งล่าสุด ที่เกิดขึ้นนั้น นับเป็นการปะทุครั้งรุนแรงที่สุด โดยมีกลุ่มควันปกคลุมท้องฟ้าไกลถึง 13 กิโลเมตร





ที่มา   http://hilight.kapook.com/view/53338





วารสารไซเอนซ์ วารสารวิทยาศาสตร์ของสหรัฐ รายงานอ้างผลการศึกษาของนักโบราณชีวศาสตร์ในอังกฤษที่ระบุว่า เหตุภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ในจีนเมื่อ 260 ล้านปีก่อน ได้ทำลายล้างชีวิตสัตว์น้ำ และสัตว์บกทั่วโลก โดยเชื่อว่าการระเบิดครั้งนั้นทำให้สัตว์น้ำสูญพันธุ์ถึงร้อยละ 96 และสัตว์บกสูญอีกอีกราวร้อยละ 70 เลยทีเดียว
 นายพอล วิกนอลล์ ศาสตราจารย์และนักโบราณชีวศาสตร์ ประจำมหาวิทยาลัยลีดส์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะนักวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่า การสูญพันธุ์อย่างฉับพลันของเหล่าสัตว์น้ำที่เรียกว่า "การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่กัวดาลูเปียน " สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนในซากฟอสซิลที่บันทึกความเชื่อมโยงระหว่างการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ และหายนภัยสิ่งแวดล้อมโลกเอาไว้
การระเบิดของภูเขาไฟอี้เหมยในมณฑลเสฉวน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ปล่อยลาวาออกมามากถึงครึ่งล้านลูกบาศก์กิโลเมตร ซึ่งเป็นปริมาณมากพอที่จะปกคลุมพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าแคว้นเวลส์ในอังกฤษได้ถึง 5 เท่า
 การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสัตว์ทะเลเกิดขึ้นเพราะการปะทะกันของน้ำทะเล และลาวาที่ไหลอย่างรวดเร็วลงทะเลน้ำตื้น ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ส่งก๊าซซัลเฟอร์ไดอ็อกไซด์ปริมาณมหาศาลขึ้นสู่บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ซึ่งเป็นชั้นบรรยากาศสูงสุด
นายวิกนอลล์อธิบายว่า เมื่อลาวาที่มีความหนืดต่ำเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปปะทะกับน้ำทะเลตื้นๆที่เคยปกคลุมภูเขาอี้เหมยซาน จะทำให้น้ำทะเลเดือดจัด ส่งไอน้ำจำนวนมหาศาลขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศกระจายไปทั่วโลก ทำให้โลกเย็นลง และทำให้เกิดฝนกรดจำนวนมากตกลงใส่ต้นไม้ และสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ที่กระจายตัวอยู่ทั่วผืนโลก ซึ่งขณะนั้นยังเป็นทวีปแพนเจียร์ ทวีปใหญ่ทวีปเดียว ก่อนจะแยกตัวออกมาเป็นทวีปแอฟริกา อเมริกา ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติกา




วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หลุมยุบ หลุมยักษ์ 9 หลุมมหัศจรรย์ของโลก



 The Great Blue Hole


          1. หลุมเกรทบลูโฮล ประเทศเบลิส เป็นหลุมตามธรรมชาติที่ใหญ่และน่ากลัวที่สุดในโลก มีลักษณะเป็นถ้ำลึกลงไปใต้ทะเล มีขนาดความกว้างปากหลุมประมาณ 300 เมตร ลึกประมาณ 125 เมตร ข้างล่างเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเลยทีเดียว และแม้ว่าหลุมนี้จะเป็นหลุมที่น่ากลัวที่สุดและคร่าชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่บริเวณนี้ก็ยังเป็นที่นิยมของนักประดาน้ำที่ชอบความท้าทายอยู่ไม่น้อย




The Door to Hell



The Door to Hell


          2. ประตูนรก อุเบกิซสถาน เป็นหลุมแก๊สพิษขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เมืองดาร์วาซ ของประเทศอุเบกิซสถาน ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อ 35 ปีก่อน  และเนื่องจากเป็นหลุมที่ประกอบด้วยแก๊สพิษมากมาย นักธรณีวิทยาได้จุดไฟเผาตั้งแต่นั้นมา จนทุกวันนี้ผ่านมา 35 ปีแล้ว เพลิงไฟที่จุดขึ้นในวันนั้นก็ยังไม่เคยดับเลย ทำให้หลุมนี้ถูกเรียกว่าเป็นประตูนรกของโลก




Mirny Diamond Mine


          3. เหมือง Mirny ทางตะวันออกของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย เป็นหลุมเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มขุดเมื่อปี ค.ศ. 1957 และปิดตัวลงเมื่อ 10 ปีก่อน มีขนาดปากหลุมกว้าง 1.2 กิโลเมตร และลึก 525 เมตร ขุดเพชรได้ประมาณ 10 ล้านกะรัตต่อปี และนอกจากนี้ หลุมนี้ยังมีแรงดึงดูดที่สามารถทำให้เครื่องบินชนกันได้อย่างง่าย ๆ ดังนั้น จึงมีการออกกฎห้ามไม่ให้เครื่องบินบินผ่านหลุมนี้




Kimberley Big Hole


          4. Kimberley Big Hole หรือ เหมืองเพชร Kimberley ในแอฟริกาใต้ เป็นหลุมเพชรอีกแห่งหนึ่งที่เริ่มขุดเมื่อปี ค.ศ. 1871 และสิ้นสุดการขุดเมื่อปี ค.ศ. 1914 ปากหลุมกว้าง 463 เมตร ลึก 240 เมตร ส่วนเพชรที่ได้จากการขุดหลุมนี้ มีน้ำหนักถึง 2,720 กิโลกรัม หรือเกือบ ๆ 3 ตัน เลยทีเดียว




Kennecott Copper


          5. เหมือง Bingham Canyon หรือที่ทั่วโลกรู้จักกันในนาม Kennecott Copper อยู่ในซอลท์เลค ยูทา เป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1906 มีขนาดปากหลุมกว้าง 4 กิโลเมตร ลึก 1.2 กิโลเมตร ได้รับการยอมรับว่าเป็นหลุมที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก




Glory Hole


          6. Glory Hole หลุมยักษ์หลุมนี้อยู่กลางเขื่อนมอลติเชลโล แคลิฟอร์เนีย สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการระบายน้ำ กรณีที่มีน้ำล้นเขื่อน ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดสิ่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว




Diavik Mine


          7. เหมือง Diavik ประเทศแคนาดา เป็นอีกหนึ่งเหมืองเพชรที่ขุดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ เริ่มการสำรวจในปี 1992 ก่อนจะขุดเมื่อปี 2001




หลุมยักษ์ หลุม กัวเตมาลา 2007


ที่มา http://hilight.kapook.com/view/49284   


หลุมยักษ์ หลุม กัวเตมาลา 2007


          8.  หลุมยักษ์กลางกัวเตมาลา ปี 2007 เป็นหลุมจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกลางกัวเตมาลา มีความลึกประมาณ 100 เมตร ดูดเอาบ้านนับสิบหลังให้หายวับไปกับตาได้อย่างรวดเร็วในขณะนั้น

          9. หลุมยักษ์กลางกัวเตมาลา ปี 2010  หลุมนี้เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในบริเวณที่ไม่ห่างจากหลุมแรกมากนัก  ปากหลุมมีความกว้าง 18 เมตร และลึกราว 30 เมตร

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พิศวง! แม่น้ำในแคนาดา ส่องประกายสีเขียว

ประชาชนผู้รักธรรมชาติ ณ อุทยานโกลด์สตรีม โพรวินเชียล ในเมืองวิคตอเรีย รัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา ถึงกับงงงวยกับสิ่งที่พบเห็น เมื่อแม่น้ำโกลด์สตรีม กลายเป็นสีเขียวส่องแสงประกายเมื่อบ่ายวันพุธที่ 5 มกราคมที่ผ่าน ตามเวลาท้องถิ่น
สายน้ำสีเขียวเรืองรองเริ่มปรากฎให้เห็นราว 500 เมตรจากทางเข้าอุทยานฝั่งเมืองวิคตอเรีย และใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง ก่อนที่มันจะค่อยๆไหลลงสู่บริเวณปากแม่น้ำ ทั้งนี้ ณ เวลาประมาณ 17.30 น. แม่น้ำสายนี้ซึ่งเป็นแหล่งพึ่งพิงของปลาแซลมอน นกอินทรีและสัตว์ป่าอื่นๆ ก็กลับสู่ภาวะปกติ

image

กระทรวงสิ่งแวดล้อมแคนาดา ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจสอบทันทีและได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำนำมาวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ต่อไป
      
ด้วยเหตุที่ไม่พบปลาและสัตว์ใด ๆ ตายสืบเนื่องจากปรากฏการณ์นี้ ทางกระทรวงสิ่งแวดล้อมจึงสันนิษฐานว่าน้ำส่องแสงเรืองรองอาจเกิดจากฝีมือมนุษย์

พวกเขาบอกว่าพบสิ่งบ่งชี้ว่าการเปลี่ยนสีของน้ำอาจมีสาเหตุมาจากการสะสมของสารสีเขียว ที่ใช้สำหรับตรวจหาร่องรอยสิ่งปนเปื้อนในระบบระบายน้ำ ทั้งนี้หากเป็นจริงตามความคาดการณ์ของกระทรวงสิ่งแวดล้อม ความวิตกต่อปัญหามลพิษก็น่าจะผ่อนคลายลงไป เนื่องจากสารดังกล่าวไม่มีสารพิษเจือปนอยู่


10 ปรากฎการณ์นี้ก็แปลกเช่นเดียวกัน




                                                                            โลกเรานี้เต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่คาดคิดอยู่มากมาย ผู้คนมักจะใช้คำว่า “ผิดธรรมชาติ” หรือ “ธรรมชาติวิปริต” มาอธิบายสิ่งที่พวกเขาเห็นว่ามัน “ผิดแปลก” แต่จริงๆแล้วความ “แปลก” นั้นเกิดจากการที่เรานำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราคิดว่าเป็น “ธรรมดา” หรือ “ปรกติ” แต่แท้ที่จริงแล้วเหตุการณ์หลายอย่างนั้นเป็นเรื่อง “ปรกติ” ธรรมดาของธรรมชาติบนโลกที่มีอายุหลายพันล้านปี เพียงแต่ว่าในช่วงชีวิตที่แสนสั้นของคนเรานั้นเราอาจจะไม่ได้เห็นปรากฏการณ์เหล่านี้เลย ทำให้เราคิดไปว่าสิ่งที่เป็น “ธรรมดา” ของโลกนั้นเป็นสิ่งที่ “ผิดปกติ” ไป นี่คือตัวอย่างของปรากฏการณ์ที่อาจจะฟังดู “ผิดธรรมชาติ” หรือ “แปลกประหลาด” ที่เกิดขึ้นเป็นนิจบนโลกของเรา

1) พายุที่ไม่มีวันดับ

                                                           

“สายฟ้าแห่งคาตาทุมโบ” (Catatumbo Lightings) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นบริเวณปากแม่น้ำคาตาทุมโบ ส่วนที่ต่อกับทะเลสาป Maracaibo ในประเทศเวเนซุเอรา เมฆพายุขนาดใหญ่และสายฟ้าที่ยาวกว่า 5 กิโลเมตรนี้ จะเกิดขึ้นประมาณ 140 ถึง 160 วันต่อปี และสายฟ้านี้จะผ่าติดต่อกันได้ถึงวันละ 10 ชั่วโมง และมากที่สุดถึงชั่วโมงละ 280 ครั้ง ข้อมูลล่าสุดบอกว่า หลังจากที่ได้เกิดขึ้นติดต่อกันมานานเป็นศตวรรษ (เท่าที่มีการบันทึก) สายฟ้านี้ได้หายไปตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2553 ซึ่งน่าจะเกิดมาจากความแห้งแล้งอย่างหนัก ทำให้เป็นที่กังวลว่าปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้อาจหายไปได้


2) ฝนปลา
                                                  

ฝนปลา หรือที่ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “Lluvia de Peces” นั้นเป็นปรากฏการณ์เหลือเชื่อที่เกิดขึ้นติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 100 ปีแล้วในประเทศฮอนดูรัส โดยจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฏาคมของทุกปี ในเขตเมือง Yoro ทางตอนเหนือของประเทศ ตามปรกติจะเริ่มจากเมฆดำแล้วตามด้วยฟ้าผ่า, ลมพายุ, และฝนตกหนักราว 2-3 ชั่วโมง ซึ่งหลังจากฝนหยุดไปแล้ว จะพบปลาเป็นๆ หลายร้อยตัวดิ้นพรวดๆ อยู่บนพื้นดิน ซึ่งชาวบ้านจะจับไปทำเป็นอาหาร เชื่อกันว่าปรากฏการณ์นี้เกิดจากพายุหอบพัดปลาจากมหาสมุทธขึ้นไปแล้วพัดตกลงมาบนแผ่นดิน


3) แพะบนต้นไม้
                                                                        

แพะไม่ว่าที่ไหนบนโลกจะหากินบนพื้น แต่ในประเทศโมรอคโคนั้นคงเป็นที่เดียวในโลกที่แพะชอบที่จะปีนต้นไม้เพื่อหาอาหาร??? ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าแพะที่นี่ชอบกินผลของต้น Argan หรือที่รู้จักกันว่า Goat Tree ซึ่งเป็นต้นไม้พุ่มที่ขึ้นทั่วไปในโมรอคโค ชาวนาก็จะตามฝูงแพะเพื่อไปเก็บเมล็ดของต้น Argan (แพะย่อยไม่ได้) ซึ่งสามารถนำมาสกัดทำน้ำมันที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและเป็นสินค้าส่งออกราคาแพงอันเป็นที่ต้องการของบริษัทผู้ผลิตน้ำหอมในยุโรป

4) ฝนเลือด
                                        

ในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงกันยายนของปี 2544 ได้มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในเมืองเคลาลาของอินเดีย นั่นคือมีฝนสีแดงตกลงมาทั่วทั้งฟ้า นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำฝนที่เก็บได้แล้วพบว่าสิ่งที่ตกลงมานั้นไม่ใช่เลือดตามที่ชาวเมืองเข้าใจ แต่เป็นน้ำที่มีตะกอนฝุ่นสีแดงในปริมาณมากจนทำให้น้ำมีสีแดงคล้ายเลือด

5) รุ้งเพลิง
                                       

คนส่วนใหญ่จะรู้จักรุ้งกินน้ำว่าเป็นแถบสีรูปโค้งบนท้องฟ้าหลังฝน แต่ถ้ารุ้งกินน้ำไม่ได้เป็นรูปโค้งล่ะ? คงจะเป็นสิ่งที่ผิดหูผิดตาผู้คนไม่น้อย รูปแบบที่แปลกตาและหาดูยากที่สุดเห็นจะเป็นสิ่งที่รู้จักกันในชื่อ รุ้งเพลิง (Fire Rainbow) ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนกับเปลวเพลงสีรุ้งพาดผ่านท้องฟ้า ปกติจะเห็นเป็นแถบขนานไปกับขอบฟ้า แต่อาจเปลี่ยนไปขึ้นกับตำแหน่งที่เกิด

6) เมฆตะปุ่มตะป่ำ
                                             

Mammatus Cloud หรือที่บางทีเรียกว่า เมฆตะปุ่มตะป่ำ (Bumpy Cloud) เป็นปรากฏการณ์ที่มักเกิดตอนมีพายุหรือทอร์นาโด มักเกิดขึ้นในช่วงตอนกลางและตะวันออกของสหรัฐฯ เมฆจะปรากฏพื้นผิวที่เรียบและดูตะปุ่มตะป่ำเหมือนกับฟองน้ำ ซึ่งรูปลักษณ์ที่แปลกตานี้เกิดจากส่วนผสมของน้ำแข็งกับน้ำในก้อนเมฆ


7) คลื่นทวนแม่น้ำ
                                                                 

คุณอาจแปลกใจว่าสถิติของคลื่นที่มีความยาวที่สุดในโลกนั้นไม่ได้เกิดในทะเล แต่เกิดขึ้นในแม่น้ำ?? ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพัทธ์ถึงมีนาคมของทุกปี น้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกจะดันน้ำบริเวณปากแม่น้ำอเมซอนในบราซิลให้ไหลกลับเข้าไปในแม่น้ำ ทำให้เกิดคลื่นที่อาจสูงได้ถึง 4 เมตรเคลื่อนที่ทวนแม่น้ำกลับเข้าไปในแม่น้ำได้ลึกถึง 13 กิโลเมตร (จากปากแม่น้ำ) ซึ่งคลื่นที่ยาวที่สุดนั้นเกิดขึ้นในปี 2546 ซึ่งวัดความยาวคลื่นได้ถึง 12 กิโลเมตร และเกิดขึ้นนานถึง 37 นาที เป็นหนึ่งในสถานที่เล่นกระดานโต้คลื่นยอดนิยม


8) ตะวันดำ
                                              

ในช่วงก่อนตะวันตกดินในฤดูใบไม้ผลิของทุกปีของประเทศเดนมาร์ก จะมีกลุ่มก้อนสีดำเคลื่อนที่ผ่านขอบฟ้าและมีการเปลี่ยนรูปร่างระหว่างเคลื่อนที่ สิ่งนี้รู้จักกันในชื่อ ตะวันดำ (Black Sun) แต่ที่จริงนั้นเป็นกลุ่มของนกอพยพชนิดหนึ่งที่เรียกว่า startlings ซึ่งบินจากที่ต่างๆ มารวมตัวกันก่อนที่จะเคลื่อนย้ายไปยังบริเวณแพร่พันธุ์ในแถบสแกนดิเนเวีย

9) เสาลำแสง
                                                    


                         

                                                

ถ้าการที่รุ้งกินน้ำพาดผ่านท้องฟ้ายามกลางวันอาจฟังเป็นเรื่องแปลกสำหรับบางคน แต่รุ้งที่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วนี่นับว่าแปลกยิ่งกว่า Moonbow หรือ รุ้งพระจันทร์ นี้เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงและเกิดในบางสถานที่เท่านั้น หนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะเห็นรุ้งนี้ได้คือ น้ำตก Cumberland Falls ในรัฐเค็นตั๊กกี้ของสหรัฐฯ รุ้งประเภทนี้เกิดจากแสงที่สะท้อนมาจากดวงจันทร์ จึงมีสีที่ค่อนข้างซีดและมักจะเกิดขึ้นในทิศทางตรงข้ามกับพระจันทร์

                                                                                 http://www.oknation.net/blog/krasean/2010/05/09/entry-1