วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พิศวง! แม่น้ำในแคนาดา ส่องประกายสีเขียว

ประชาชนผู้รักธรรมชาติ ณ อุทยานโกลด์สตรีม โพรวินเชียล ในเมืองวิคตอเรีย รัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา ถึงกับงงงวยกับสิ่งที่พบเห็น เมื่อแม่น้ำโกลด์สตรีม กลายเป็นสีเขียวส่องแสงประกายเมื่อบ่ายวันพุธที่ 5 มกราคมที่ผ่าน ตามเวลาท้องถิ่น
สายน้ำสีเขียวเรืองรองเริ่มปรากฎให้เห็นราว 500 เมตรจากทางเข้าอุทยานฝั่งเมืองวิคตอเรีย และใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง ก่อนที่มันจะค่อยๆไหลลงสู่บริเวณปากแม่น้ำ ทั้งนี้ ณ เวลาประมาณ 17.30 น. แม่น้ำสายนี้ซึ่งเป็นแหล่งพึ่งพิงของปลาแซลมอน นกอินทรีและสัตว์ป่าอื่นๆ ก็กลับสู่ภาวะปกติ

image

กระทรวงสิ่งแวดล้อมแคนาดา ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจสอบทันทีและได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำนำมาวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ต่อไป
      
ด้วยเหตุที่ไม่พบปลาและสัตว์ใด ๆ ตายสืบเนื่องจากปรากฏการณ์นี้ ทางกระทรวงสิ่งแวดล้อมจึงสันนิษฐานว่าน้ำส่องแสงเรืองรองอาจเกิดจากฝีมือมนุษย์

พวกเขาบอกว่าพบสิ่งบ่งชี้ว่าการเปลี่ยนสีของน้ำอาจมีสาเหตุมาจากการสะสมของสารสีเขียว ที่ใช้สำหรับตรวจหาร่องรอยสิ่งปนเปื้อนในระบบระบายน้ำ ทั้งนี้หากเป็นจริงตามความคาดการณ์ของกระทรวงสิ่งแวดล้อม ความวิตกต่อปัญหามลพิษก็น่าจะผ่อนคลายลงไป เนื่องจากสารดังกล่าวไม่มีสารพิษเจือปนอยู่


10 ปรากฎการณ์นี้ก็แปลกเช่นเดียวกัน




                                                                            โลกเรานี้เต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่คาดคิดอยู่มากมาย ผู้คนมักจะใช้คำว่า “ผิดธรรมชาติ” หรือ “ธรรมชาติวิปริต” มาอธิบายสิ่งที่พวกเขาเห็นว่ามัน “ผิดแปลก” แต่จริงๆแล้วความ “แปลก” นั้นเกิดจากการที่เรานำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราคิดว่าเป็น “ธรรมดา” หรือ “ปรกติ” แต่แท้ที่จริงแล้วเหตุการณ์หลายอย่างนั้นเป็นเรื่อง “ปรกติ” ธรรมดาของธรรมชาติบนโลกที่มีอายุหลายพันล้านปี เพียงแต่ว่าในช่วงชีวิตที่แสนสั้นของคนเรานั้นเราอาจจะไม่ได้เห็นปรากฏการณ์เหล่านี้เลย ทำให้เราคิดไปว่าสิ่งที่เป็น “ธรรมดา” ของโลกนั้นเป็นสิ่งที่ “ผิดปกติ” ไป นี่คือตัวอย่างของปรากฏการณ์ที่อาจจะฟังดู “ผิดธรรมชาติ” หรือ “แปลกประหลาด” ที่เกิดขึ้นเป็นนิจบนโลกของเรา

1) พายุที่ไม่มีวันดับ

                                                           

“สายฟ้าแห่งคาตาทุมโบ” (Catatumbo Lightings) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นบริเวณปากแม่น้ำคาตาทุมโบ ส่วนที่ต่อกับทะเลสาป Maracaibo ในประเทศเวเนซุเอรา เมฆพายุขนาดใหญ่และสายฟ้าที่ยาวกว่า 5 กิโลเมตรนี้ จะเกิดขึ้นประมาณ 140 ถึง 160 วันต่อปี และสายฟ้านี้จะผ่าติดต่อกันได้ถึงวันละ 10 ชั่วโมง และมากที่สุดถึงชั่วโมงละ 280 ครั้ง ข้อมูลล่าสุดบอกว่า หลังจากที่ได้เกิดขึ้นติดต่อกันมานานเป็นศตวรรษ (เท่าที่มีการบันทึก) สายฟ้านี้ได้หายไปตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2553 ซึ่งน่าจะเกิดมาจากความแห้งแล้งอย่างหนัก ทำให้เป็นที่กังวลว่าปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้อาจหายไปได้


2) ฝนปลา
                                                  

ฝนปลา หรือที่ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “Lluvia de Peces” นั้นเป็นปรากฏการณ์เหลือเชื่อที่เกิดขึ้นติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 100 ปีแล้วในประเทศฮอนดูรัส โดยจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฏาคมของทุกปี ในเขตเมือง Yoro ทางตอนเหนือของประเทศ ตามปรกติจะเริ่มจากเมฆดำแล้วตามด้วยฟ้าผ่า, ลมพายุ, และฝนตกหนักราว 2-3 ชั่วโมง ซึ่งหลังจากฝนหยุดไปแล้ว จะพบปลาเป็นๆ หลายร้อยตัวดิ้นพรวดๆ อยู่บนพื้นดิน ซึ่งชาวบ้านจะจับไปทำเป็นอาหาร เชื่อกันว่าปรากฏการณ์นี้เกิดจากพายุหอบพัดปลาจากมหาสมุทธขึ้นไปแล้วพัดตกลงมาบนแผ่นดิน


3) แพะบนต้นไม้
                                                                        

แพะไม่ว่าที่ไหนบนโลกจะหากินบนพื้น แต่ในประเทศโมรอคโคนั้นคงเป็นที่เดียวในโลกที่แพะชอบที่จะปีนต้นไม้เพื่อหาอาหาร??? ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าแพะที่นี่ชอบกินผลของต้น Argan หรือที่รู้จักกันว่า Goat Tree ซึ่งเป็นต้นไม้พุ่มที่ขึ้นทั่วไปในโมรอคโค ชาวนาก็จะตามฝูงแพะเพื่อไปเก็บเมล็ดของต้น Argan (แพะย่อยไม่ได้) ซึ่งสามารถนำมาสกัดทำน้ำมันที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและเป็นสินค้าส่งออกราคาแพงอันเป็นที่ต้องการของบริษัทผู้ผลิตน้ำหอมในยุโรป

4) ฝนเลือด
                                        

ในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงกันยายนของปี 2544 ได้มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในเมืองเคลาลาของอินเดีย นั่นคือมีฝนสีแดงตกลงมาทั่วทั้งฟ้า นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำฝนที่เก็บได้แล้วพบว่าสิ่งที่ตกลงมานั้นไม่ใช่เลือดตามที่ชาวเมืองเข้าใจ แต่เป็นน้ำที่มีตะกอนฝุ่นสีแดงในปริมาณมากจนทำให้น้ำมีสีแดงคล้ายเลือด

5) รุ้งเพลิง
                                       

คนส่วนใหญ่จะรู้จักรุ้งกินน้ำว่าเป็นแถบสีรูปโค้งบนท้องฟ้าหลังฝน แต่ถ้ารุ้งกินน้ำไม่ได้เป็นรูปโค้งล่ะ? คงจะเป็นสิ่งที่ผิดหูผิดตาผู้คนไม่น้อย รูปแบบที่แปลกตาและหาดูยากที่สุดเห็นจะเป็นสิ่งที่รู้จักกันในชื่อ รุ้งเพลิง (Fire Rainbow) ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนกับเปลวเพลงสีรุ้งพาดผ่านท้องฟ้า ปกติจะเห็นเป็นแถบขนานไปกับขอบฟ้า แต่อาจเปลี่ยนไปขึ้นกับตำแหน่งที่เกิด

6) เมฆตะปุ่มตะป่ำ
                                             

Mammatus Cloud หรือที่บางทีเรียกว่า เมฆตะปุ่มตะป่ำ (Bumpy Cloud) เป็นปรากฏการณ์ที่มักเกิดตอนมีพายุหรือทอร์นาโด มักเกิดขึ้นในช่วงตอนกลางและตะวันออกของสหรัฐฯ เมฆจะปรากฏพื้นผิวที่เรียบและดูตะปุ่มตะป่ำเหมือนกับฟองน้ำ ซึ่งรูปลักษณ์ที่แปลกตานี้เกิดจากส่วนผสมของน้ำแข็งกับน้ำในก้อนเมฆ


7) คลื่นทวนแม่น้ำ
                                                                 

คุณอาจแปลกใจว่าสถิติของคลื่นที่มีความยาวที่สุดในโลกนั้นไม่ได้เกิดในทะเล แต่เกิดขึ้นในแม่น้ำ?? ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพัทธ์ถึงมีนาคมของทุกปี น้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกจะดันน้ำบริเวณปากแม่น้ำอเมซอนในบราซิลให้ไหลกลับเข้าไปในแม่น้ำ ทำให้เกิดคลื่นที่อาจสูงได้ถึง 4 เมตรเคลื่อนที่ทวนแม่น้ำกลับเข้าไปในแม่น้ำได้ลึกถึง 13 กิโลเมตร (จากปากแม่น้ำ) ซึ่งคลื่นที่ยาวที่สุดนั้นเกิดขึ้นในปี 2546 ซึ่งวัดความยาวคลื่นได้ถึง 12 กิโลเมตร และเกิดขึ้นนานถึง 37 นาที เป็นหนึ่งในสถานที่เล่นกระดานโต้คลื่นยอดนิยม


8) ตะวันดำ
                                              

ในช่วงก่อนตะวันตกดินในฤดูใบไม้ผลิของทุกปีของประเทศเดนมาร์ก จะมีกลุ่มก้อนสีดำเคลื่อนที่ผ่านขอบฟ้าและมีการเปลี่ยนรูปร่างระหว่างเคลื่อนที่ สิ่งนี้รู้จักกันในชื่อ ตะวันดำ (Black Sun) แต่ที่จริงนั้นเป็นกลุ่มของนกอพยพชนิดหนึ่งที่เรียกว่า startlings ซึ่งบินจากที่ต่างๆ มารวมตัวกันก่อนที่จะเคลื่อนย้ายไปยังบริเวณแพร่พันธุ์ในแถบสแกนดิเนเวีย

9) เสาลำแสง
                                                    


                         

                                                

ถ้าการที่รุ้งกินน้ำพาดผ่านท้องฟ้ายามกลางวันอาจฟังเป็นเรื่องแปลกสำหรับบางคน แต่รุ้งที่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วนี่นับว่าแปลกยิ่งกว่า Moonbow หรือ รุ้งพระจันทร์ นี้เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงและเกิดในบางสถานที่เท่านั้น หนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะเห็นรุ้งนี้ได้คือ น้ำตก Cumberland Falls ในรัฐเค็นตั๊กกี้ของสหรัฐฯ รุ้งประเภทนี้เกิดจากแสงที่สะท้อนมาจากดวงจันทร์ จึงมีสีที่ค่อนข้างซีดและมักจะเกิดขึ้นในทิศทางตรงข้ามกับพระจันทร์

                                                                                 http://www.oknation.net/blog/krasean/2010/05/09/entry-1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น